วิธีอ่าน ใบเซอร์เพชร GIA ให้เก่งอย่างมืออาชีพ [เจาะลึก]

เพชร
/ 20 สิงหาคม 2025

ใบเซอร์เพชร คือ เครื่องการันตีที่จะทำให้คุณซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

196143

หากคุณกำลังวางแผนที่จะซื้อเพชรเม็ดใหญ่กว่า 18 ตัง (0.18 กะรัต) ใบเซอร์เพชร คือสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม

ใบเซอร์เพชร จากสถาบันชั้นนำของโลกอย่าง GIA หรือ HRD ก็เปรียบเสมือนใบรับประกัน ว่าคุณจะได้รับเพชรเม็ดนั้นๆ ซึ่งตรงกับคุณภาพที่คุณกำลังมองหา อีกทั้งยังมีราคาเพชรที่อ้างอิงจากราคากลางมีมาตรฐาน

แต่ก็ใช่ว่าเพชรที่มีใบเซอร์ทุกเม็ดจะเป็นเพชรสวย เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการอ่านใบเซอร์เพชรมากพอ จึงอาจทำให้พลาดพลั้งและได้รับเพชรคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน

เราจึงตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อแบ่งปันความรู้ ให้คุณสามารถอ่านใบเซอร์เพชรได้อย่างถูกต้อง และใช้เป็นแนวทางสำหรับการลงทุนซื้อเพชรในอนาคต

เราเชื่อว่า “ความรู้คือพลัง” เพราะฉะนั้นยิ่งคุณมีความรู้เรื่องเพชรมากเท่าไร ก็จะทำให้คุณสามารถซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

4 ข้อดีของการซื้อ เพชรมีใบเซอร์

1. ซื้อเพชรแท้ สบายใจหายห่วง

fake-diamonds-moissanite

หากคุณเป็นเหมือนผู้ซื้อส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้มีความชำนาญในการแยกแยะเพชรแท้กับเพชรเทียมด้วยตาเปล่า คุณก็อาจจะต้องเสี่ยงว่าจะได้รับเพชรสังเคราะห์ในราคาเพชรแท้ หรือในราคาที่ต่ำมากจนคุณต้องตัดสินใจซื้อ

ในยุคสมัยนี้ เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลมาก จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์สามารถผลิตเพชรสังเคราะห์จากห้องแล็บ (Laboratory Grown) ให้เหมือนเพชรแท้ได้โดยไร้ที่ติ โดยมีชื่อเรียกกันว่าเพชร CVD (Chemical Vapor Deposition) ซึ่งดูเหมือนเพชรแท้จนคนทั่วไปแยกไม่ออก ในขณะที่เพชร CZ หรือเพชรรัสเซียยังสามารถดูออกว่าเป็นเพชรปลอมได้ไม่ยาก

แม้แต่สถาบัน GIA เองยังต้องเปิดหน่วยงานใหม่ขึ้นมา เพื่อออกใบเซอร์ให้สำหรับเพชรชนิดนี้โดยเฉพาะ โดยจะมีการระบุในใบเซอร์อย่างชัดเจนด้วยสีเทาเงิน ว่าเป็น เพชรสังเคราะห์ (GIA Synthetic Diamond Report) ดังภาพประกอบด้านล่าง:

Synthetic-Diamond-Grading-Report-881x690

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เพชรสังเคราะห์ก็ยังคงได้รับความนิยมน้อยกว่าเพชรแท้อยู่ดี เพราะขาดเสน่ห์ของความเป็นธรรมชาติในเพชรแท้ ที่ใช้เวลาในการบ่มเพาะกว่าหลายพันล้านปี จึงทำให้เพชรสังเคราะห์มีมูลค่าต่ำกว่าเพชรแท้มาก

เมื่อคุณซื้อเพชรแท้ที่มีใบเซอร์ คุณจะสามารถทราบได้ทันทีว่าเพชรเม็ดนั้น มีจุดกำเนิดมาจากธรรมชาติอย่างแท้จริง และมีมูลค่าในตัวเอง ทำให้คุณมั่นใจยิ่งขึ้นในการซื้อเพชรครั้งต่อไป

ข้อนี้ จึงเป็นข้อที่คุณควรให้ความสำคัญมากที่สุด

2. ได้เพชรคุณภาพตรงกับความเป็นจริง

diamond

หากคุณซื้อเพชรที่ไม่มีใบเซอร์ คงจะต้องอาศัยความเชื่อใจต่อผู้ขายมากในระดับหนึ่ง เช่น หากผู้ขายแจ้งว่าเพชรเป็นน้ำ 99% แต่ที่จริงแล้วอาจเป็นน้ำ 98% ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันพอสมควร โดยที่คุณก็อาจจะไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่าอยู่ดี

เพราะฉะนั้นหากคุณเลือกซื้อเพชรที่มีใบเซอร์ ไม่ว่าจะรับรองโดยสถาบัน GIA หรือ HRD ก็จะมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ 4C’s of Diamonds อย่างชัดเจน คุณจึงไว้วางใจได้เรื่องความแม่นยำ เพราะสถาบันที่เรากล่าวมาในเบื้องต้นทั้งสอง ถือเป็นสถาบันชื่อดังอันดับต้นๆ ของโลก ที่มีนักอัญมณีศาสตร์มืออาชีพ เป็นผู้ให้คะแนนเพชรของคุณจากห้องแล็บโดยตรง

ส่วนวิธีการเช็กว่าใบเซอร์นั้นตรงกับเพชรหรือเปล่าก็ง่ายนิดเดียว เพียงคุณส่องดูว่าเลขตรงขอบเพชร (Laser Inscription) กับเลขในใบเซอร์ที่คุณถืออยู่ (Report Number) ตรงกันหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง

3. เปรียบเทียบความคุ้มค่าได้ง่ายกว่า

diamond-grading

เมื่อคุณทราบคุณลักษณะของเพชรอย่างละเอียด จะทำให้คุณสามารถเปรียบเทียบราคาเพชรได้อย่างง่ายดาย

เช่น หากคุณกำลังมองหาราคาเพชร 1 กะรัต น้ำ 99% (E Color) ความสะอาดดีมาก (VVS Clarity) แล้วคุณบังเอิญเจอเพชร 2 เม็ดที่ขายในราคาเท่ากัน เพียงแต่เม็ดหนึ่งมี 3 Excellent (Cut) ในขณะที่อีกเม็ดหนึ่งมีเพียง 2 Excellent กับ 1 Very Good คุณก็จะทราบได้ทันทีว่าเพชรเม็ดแรกนั้น คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่านั่นเอง

ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเลือกซื้อเพชรที่ไม่มีใบเซอร์ จริงอยู่ที่คุณอาจซื้อได้ในราคาที่ประหยัดกว่า แต่อาจกลายเป็นว่าคุณจ่ายแพงกว่า เมื่อเทียบกับคุณภาพเพชรที่ได้รับ

4. ซื้อง่ายขายคล่อง

oval-diamond-ring

หลายคนที่เคยซื้อเพชรไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป มีหน้าที่การงานที่มั่นคงและฐานะการเงินดีขึ้น ก็มักจะมองหาเพชรเม็ดใหญ่กว่าเดิมไว้ประดับบารมี และอาจต้องการนำเพชรเม็ดเก่าไปขายต่อเพราะไม่ค่อยได้สวมใส่แล้ว

สำหรับตลาดการซื้อขายเพชรมือสอง มูลค่าของเพชรที่ไม่มีใบเซอร์จะสู้เพชรที่มีใบเซอร์ไม่ได้ เช่นเดียวกับการขายนาฬิกาแบรนด์เนมแบบไม่มีใบเสร็จหรือใบรับประกัน เพราะผู้ที่ซื้อเพชรต่อจากคุณก็ต้องการได้รับความมั่นใจเหมือนกัน ฉะนั้นใบเซอร์เพชรก็เปรียบเสมือนใบการันตีที่มีมูลค่าในตัวเอง

ดังนั้น หากคุณกำลังคิดจะลงทุนซื้อเพชรเม็ดใหญ่ทั้งที เราก็แนะนำให้คุณเพิ่มงบประมาณอีกสักหน่อย เพื่อซื้อความมั่นใจจากเพชรมีใบเซอร์ ก็จะเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่าในระยะยาว

เพชรเซอร์ GIA คือมาตรฐานสากล

ใบเซอร์เพชร GIA จะมีอยู่ 2 แบบ:

GIA Diamond Grading Report (ใบเซอร์ใหญ่)

Grading Report เป็นใบเซอร์ที่ GIA นิยมออกให้สำหรับเพชรที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 กะรัต โดยจะมีแผนภาพประกอบระบุตำแหน่งของตำหนิเพชรอย่างชัดเจน โดยที่อาจจะมีหรือไม่มี Laser Inscription บนขอบเพชรก็ได้ เพราะข้อมูลที่ระบุในใบเซอร์ใหญ่ มีเพียงพอต่อการเปรียบเทียบกับเพชรเม็ดจริงแล้ว

ในบางครั้ง คุณอาจมีโอกาสได้พบกับเพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1 กะรัต แต่มีใบเซอร์ใหญ่ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ค่าใช้จ่ายในการออกใบเซอร์ใหญ่นั้นสูงกว่าใบเซอร์เล็กพอสมควร คุณจึงมักจะพบเจอใบเซอร์ใหญ่สำหรับเพชรที่ใหญ่กว่า 1 กะรัตเป็นหลัก

57-GIA

GIA Diamond Dossier

Dossier เป็นใบเซอร์ที่ GIA นิยมออกให้สำหรับเพชรที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1 กะรัต โดยจะไม่มีแผนภาพประกอบระบุตำแหน่งของตำหนิเพชร แต่ยังคงมี Laser Inscription บนขอบเพชรเพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยตัวเอง

อัปเดต: เดิมทีเมื่อเดือนมกราคม ปี 2023 ทาง GIA มีนโยบายแทนที่ใบเซอร์ GIA Diamond Dossier แบบกระดาษด้วยระบบออนไลน์ทั้งหมด หลังจากนั้นไม่กี่เดือนต่อมาก็ได้มีประกาศมาอีกครั้งว่าหลังจากวันที่ 9 เมษายน 2023 ทาง GIA จะกลับมาใช้ใบเซอร์แบบกระดาษอีกรอบ เนื่องจากพบว่าเกิดความไม่สะดวกในหลายภาคส่วน ทาง GIA ได้รับฟังความเห็นและตัดสินใจใช้ใบเซอร์ Dossier รูปแบบกระดาษอีกครั้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้หากคุณได้รับใบเซอร์แบบดิจิทัลไปในช่วงก่อนหน้า คุณยังคงสามารถดูใบเซอร์แบบดิจิทัลได้เช่นเคยทางเว็บไซต์ gia.edu

GIA-Diamond-Dossier-1

วิธีอ่านใบเซอร์ GIA แต่ละส่วน

ก่อนที่เราจะเข้าเรื่อง เรามีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่อยากจะแบ่งปันให้คุณได้ทราบ นั่นก็คือความจริงแล้ว GIA คือสถาบันที่เป็นผู้คิดค้นหลักการให้คะแนนเพชรด้วย 4C’s of Diamonds นั่นเอง

และด้วยความที่หลักการ 4C นี้ สามารถใช้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเพชรได้อย่างถี่ถ้วน จึงทำให้ได้รับการยอมรับในวงการเพชรอย่างกว้างขวาง สถาบันเพชรอื่นๆ จึงได้นำหลักการเดียวกันไปประยุกต์ใช้ สำหรับการให้คะแนนเพชรของตนเองเช่นกัน

เพราะฉะนั้น วิธีการอ่านใบเซอร์ GIA HRD IGI AGS ฯลฯ จะมีความคล้ายคลึงกันมาก เพราะยึดหลักการเดียวกันมาจาก GIA เพียงแต่จะมีบางจุดที่ใช้ศัพท์ต่างกันเพียงเล็กน้อย โดยเราจะอธิบายจากใบเซอร์ GIA เป็นหลัก เพราะคุณคงจะมีโอกาสได้พบเจอเพชร GIA บ่อยกว่าเพชรใบเซอร์จากสถาบันอื่น

เมื่อคุณเรียนรู้วิธีการอ่านใบเซอร์ GIA ได้คล่องแคล่วแล้ว คุณก็จะสามารถอ่านใบเซอร์เพชรสถาบันอื่นได้อย่างง่ายดาย

ใบเซอร์เพชร GIA

gia-certificate-example

1. ส่วนบน: ชื่อสถาบันผู้ออกใบเซอร์ 

cer1

สิ่งแรกที่คุณควรสังเกต คือชื่อสถาบันผู้ออกใบเซอร์ เพราะมีผลต่อความน่าเชื่อถือในแง่ของความแม่นยำในการให้คะแนนเพชร ซึ่งถ้าหากคุณซื้อเพชรราคาถูกแบบไม่มีใบเซอร์ หรือมีใบเซอร์จากสถาบันที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ก็มีความเป็นไปได้ที่การให้คะแนนจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

สำหรับวงการเพชรในประเทศไทยแล้ว สถาบันที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ก็คือ GIA และ HRD

เพชรเซอร์ GIA

GIA หรือ Gemological Institute of America เป็นองค์กรแบบไม่แสวงหาผลกำไร ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและผู้ขายอัญมณี ด้วยมาตรฐานการให้คะแนนเพชรพลอยที่เคร่งครัด จนได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในวงการเพชรพลอย

เพชรเซอร์ HRD

HRD หรือ Hoge Raad voor Diamant (Diamond High Council) เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่มีพันธกิจเดียวกันกับ GIA โดยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1973 ในประเทศเบลเยียม และถือเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากเป็นอันดับต้นๆ ในฝั่งยุโรป

GIA เทียบกับ HRD

ถ้าให้เราพูดถึงเรื่องความน่าเชื่อถือของทั้งสองสถาบัน ก็นับได้ว่าเยี่ยมยอดทั้งคู่ ความแตกต่างหลักๆ ที่คุณจะได้พบเจอในฐานะผู้ซื้อ คือเพชร HRD จะได้รับการซีลอยู่ภายในแผงพลาสติกอย่างแน่นหนาตั้งแต่ออกจากแล็บ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ ในขณะที่เพชร GIA จะมาเป็นเพชรร่วงในซองกระดาษที่แนบมากับใบเซอร์

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจำเป็นต้องกังวล ว่าจะได้รับเพชรที่ไม่ตรงใบเซอร์ เพราะทั้งสองสถาบันจะสลักเลขใบเซอร์ลงบนขอบเพชร เพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ในภายหลังอยู่แล้ว

โดยทั่วไป เพชรใบเซอร์ GIA จะมีมูลค่าสูงกว่าเพชร HRD ประมาณ 5-10% เนื่องจาก GIA เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเหนือกว่า จึงได้รับความนิยม (Demand) มากกว่า

2. เลขใบเซอร์ รูปทรงเพชร และสัดส่วน

cer2
เลขใบเซอร์

รายละเอียดต่อไปที่คุณจะได้พบ คือเลขใบเซอร์ (Report Number) ซึ่งเปรียบเสมือน Serial Number ที่ใช้สำหรับระบุข้อมูลของเพชรแต่ละเม็ด โดยจะมีเลขเดียวกันกับที่คุณจะพบบนเลเซอร์ขอบเพชร (Laser Inscription)

ทั้งสถาบัน GIA และ HRD จะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในคลังข้อมูลออนไลน์ โดยคุณสามารถเข้าเว็บไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ ดังนี้:

หากคุณทำใบเซอร์เพชรหายก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณสามารถนำเพชรไปให้สถาบันนั้นๆ ออกใบเซอร์ให้ใหม่ได้ (มีค่าใช้จ่าย)

รูปทรงเพชร และสัดส่วน

ในบรรทัดต่อมา คุณจะพบข้อมูลเกี่ยวกับรูปทรงเพชร และสัดส่วนของเพชรที่วัดด้วยหน่วยมิลลิเมตร

เพชรที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อ คือ เพชรกลม โดยในใบเซอร์จะระบุเป็นภาษาอังกฤษว่า Round Brilliant

3. หัวใจสำคัญ: 4C’s of Diamonds

cer3

ส่วนต่อมา เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดเกี่ยวกับเพชร นั่นก็คือรายละเอียดเกี่ยวกับ 4C: Carat, Color, Clarity และ Cut เรียงตามลำดับ

Carat
diamond-size-chart

Carat หมายถึงน้ำหนักของเพชร ซึ่งวัดเป็นหน่วยกะรัตเสมอ (1 กะรัต = 0.2 กรัม) โดย 1 กะรัตจะมีค่าเท่ากับ 100 ตัง (ความหมายเดียวกันกับ 1 บาทที่แปลงได้เป็น 100 สตางค์) หลายคนนิยมเรียกน้ำหนักเพชรด้วยหน่วยตังกันจนคุ้นเคย เช่น เพชร 50 ตัง ก็คือเพชร 0.50 กะรัตนั่นเอง

น้ำหนักกะรัตของเพชร จะส่งผลต่อความใหญ่ของเพชรโดยตรง ยิ่งกะรัตมากเท่าไรเพชรก็จะยิ่งเม็ดใหญ่มากเท่านั้น

Color
Diamond_Color_Chart

Color คือการวัดว่าเพชรมีความขาวมากแค่ไหน ซึ่งความขาวนี้จริงๆ แล้วหมายถึงการไม่มีสี แต่หากมีสีเจือปนก็จะออกเป็นสีเหลือง โดยจะวัดด้วยมาตรฐาน D to Z Grading เรียงจาก D Color ลงมาดังนี้:

  • D Color = เพชรน้ำ 100%
  • E Color = เพชรน้ำ 99%
  • F Color = เพชรน้ำ 98%
  • G Color = เพชรน้ำ 97%
  • H Color = เพชรน้ำ 96%
  • I Color = เพชรน้ำ 95%

คุณสามารถไล่เปอร์เซ็นต์น้ำเพชรลงไปได้เรื่อยๆ ด้วยหลักการเดียวกับการท่อง ABC ในสมัยเด็ก โดยสำหรับเพชรจะไม่มี ABC แต่จะเริ่มต้นด้วย D เป็นตัวอักษรแรก ไปจนถึง Z เป็นอักษรสุดท้าย

เพราะฉะนั้นเพชร D Color คือเพชรที่ขาวที่สุดและมีมูลค่าสูงที่สุด ส่วนเพชร Z Color คือเพชรที่เหลืองและมีมูลค่าน้อยที่สุด

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเพชรสีเหลืองจะไม่ดี เพราะหากเพชรมีสีเหลืองมากจนพ้น Z Color ไปแล้ว จะใช้เป็น Fancy Color Grading Scale แทน ซึ่งโดยทั่วไปเพชร Fancy Color จะมีราคาสูง และหายากมากๆ

อ่านเพิ่มเติม: เพชรน้ำ 100% / D Color น่าซื้อไหม? ซื้อเพชรทั้งทีต้องให้คุ้ม!

Clarity
diamond-clarity-scale

Clarity หมายถึงความสะอาดของเพชร โดยนักอัญมณีศาสตร์จะเป็นผู้ให้คะแนนด้วยกล้องขยาย 10 เท่า เพื่อวิเคราะห์หาตำหนิ จุดดำ หรือร่องรอยอันไม่พึงประสงค์ภายในเพชร

โดยทั่วไป Clarity ของเพชรที่เราแนะนำให้คุณซื้อสะสม จะอยู่ระหว่าง VVS1/2 – VS1/2 เพราะเป็นคุณภาพที่ถือว่าสะอาด และมีมูลค่าสมราคาที่สุด หากต่ำลงไปมากกว่านี้ เช่น SI คุณจะมีโอกาสมองเห็นตำหนิบนเพชรได้ด้วยตาเปล่าแบบง่ายๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณคงไม่อยากให้มีบนเพชรของคุณอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม: ความสะอาดของเพชร ตำหนิเพชร VS VVS SI เรื่องที่คุณต้องรู้!

Cut 
gia-cut-scale

Cut นั้นหมายถึงคุณภาพในการเจียระไนเพชร ซึ่งจะมีระบุตั้งแต่ Excellent ไปจนถึง Poor ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ส่วนของการที่จะเป็นเพชร 3 Excellent

หากคุณมีเพชรกลมทรงมาตรฐานแบบที่มี 57 เหลี่ยม และเป็นใบเซอร์ที่ออกหลังปี ค.ศ. 2006 ก็จะมี Cut Grade ระบุไว้อย่างชัดเจน

หลายคนอาจให้ความสำคัญกับ Color เป็นหลัก โดยเฉพาะเพชร D Color (น้ำ 100%) เพราะใครๆ ก็ชอบให้เพชรดูขาวไว้ก่อน บ่อยครั้งที่คุณคงจะได้เห็นเพชรขาว แต่กลับดูแล้วหมองๆ ไม่เล่นไฟ นั่นก็เป็นเพราะ Cut ยังไม่ดีพอนั่นเอง

สำหรับมืออาชีพส่วนใหญ่รวมไปถึงเรา จึงให้ความสำคัญกับ Cut มากที่สุดใน 4C’s of Diamonds ทั้งหมด เพราะจะส่งผลต่อประกาย และความเล่นไฟของเพชรโดยตรง

เพราะฉะนั้น เพชรทุกเม็ดที่เราคัดเลือกให้ลูกค้า ส่วนใหญ่จะเป็นเพชร 3 Excellent เพราะว่าจะเล่นไฟได้ดีกว่าเพชรที่เป็นเกรดรอง

อ่านเพิ่มเติม: เพชร 3 EX คืออะไร? ทำความรู้จักกับ เหลี่ยมเพชร กันดีกว่า!

4. ข้อมูลเพิ่มเติม และหมายเหตุ 

cer4

Polish และ Symmetry เป็นอีก 2 ใน 3 ปัจจัยสำคัญของเพชรที่จะเป็น 3 Excellent

Polish

Polish นั้นหมายถึงความเรียบของพื้นผิวเพชร หากเพชรมีพื้นผิวเรียบเนียนก็จะทำให้สามารถสะท้อนไฟได้อย่างชัดเจน และไม่ดูผิดเพี้ยนไป ถ้าให้เราเปรียบเทียบ ก็คงจะคล้ายกับการส่องไฟลงบนกระจกเรียบๆ ซึ่งจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าการส่องไฟลงบนกระจกที่มีเม็ดทรายโปรยอยู่

Symmetry

Symmetry คือความสมมาตรของหน้าเพชรทั้งหมด ว่าดูแล้วมีความเท่าเทียมกันแค่ไหน เมื่อมองจากมุมต่างๆ เพชรที่มีความสมมาตรดีเวลาส่องไฟลงไปแล้ว แสงจะตกกระทบตามองศาได้อย่างถูกต้อง ทำให้ดูมีประกายไฟมากกว่าเพชรที่ไม่สมมาตร

Fluorescence
diamond-fluorescence

Fluorescence หมายถึง ปฏิกิริยาที่เพชรแสดงออกมา เมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสง UV

โดยทั่วไป เพชรที่ติด Fluorescence จะดูแล้วออกเป็นสีฟ้าๆ เพราะฉะนั้นเพชรที่ไม่ติด Fluorescence จึงได้รับความนิยมมากกว่าเพชรที่ติด Fluorescence

หากเป็นเพชรที่ไม่ติด Fluorescence ในใบเซอร์ GIA จะระบุว่า None (ไม่มี) ในขณะที่ใบเซอร์ HRD จะระบุว่า Nil (ปราศจาก) ซึ่งทั้งสองคำมีความหมายเหมือนกัน

อ่านเพิ่มเติม: เพชรมี Fluorescence คือ อะไร? ดีหรือไม่ดี? เปิดเผยความลับที่คุณจำเป็นต้องรู้!

Inscription
laser-inscription-gia

ส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่บอกว่าบนขอบเพชรของคุณมีการยิงเลเซอร์อะไรลงไปบ้าง ซึ่งโดยปกติแล้ว เพชรที่มีใบเซอร์จะยิงคำว่า GIA พร้อมตัวเลข 10 หลัก ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับ GIA Report Number เพื่อให้คุณตรวจสอบได้ในภายหลัง

อ่านเพิ่มเติม: เพชร H&A คืออะไร? สิ่งที่คุณต้องรู้เรื่อง Hearts and Arrows

Comments

ส่วนนี้จะเป็นการระบุรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อขยายความในส่วนของ Clarity ว่าเพชรเม็ดนั้นมีตำหนิรูปร่างเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นส่วนที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไร

5. แผนภาพตำหนิ

cer5

เช่นเดียวกับลายนิ้วมือของคนเรา บนโลกนี้จะไม่มีเพชรแท้เม็ดไหน ที่จะเหมือนกันได้ 100% ซึ่งนี่ก็เป็นเสน่ห์ข้อหนึ่ง ที่ทำให้ใครหลายคนรักในการสะสมเพชรแท้

Proportions

ในส่วนนี้ จะมีข้อมูลที่ระบุถึงสัดส่วนต่างๆ ของเพชรไว้เป็นเปอร์เซ็นต์ โดยข้อมูลหลักๆ จะมี Table % (หน้ากว้าง), Depth % (ความลึก), Angles (องศาต่างๆ) และ Girdle Thickness (ความหนาของขอบเพชร)

สิ่งสำคัญที่คุณควรสังเกต คือ Table % เพราะหมายถึงหน้ากว้างของเพชร จากประสบการณ์ส่วนตัว Table % ที่เราแนะนำและใช้เป็นหลัก จะอยู่ระหว่าง 54% - 60% (ดูประกอบกับ Proportions เป็นกรณีๆ ไป) เพราะเป็นสัดส่วนที่ทำให้เพชรดูสมส่วนและเล่นไฟได้ดีที่สุด ถ้าหากน้อยกว่านี้จะทำให้หน้าเพชรดูเล็กเกินไปไม่ค่อยรับแสง แต่ถ้าหากใหญ่กว่านี้จะทำให้ หน้าเพชรกว้างเกินไปจนเสียสมดุล

นอกจากนี้คุณควรจะตรวจสอบในส่วนของ Cutlet (ก้นเพชร) ว่าเป็น None (ไม่มี) เพราะการมีก้นเพชรหนาจะทำให้แสงไฟที่สอดส่องเข้าไปในเพชรลอดออกมา ส่งผลให้เล่นไฟได้ไม่ดีเท่าที่ควร

Clarity Characteristics

ในใบเซอร์ใหญ่ จึงมีการระบุตำแหน่งของตำหนิไว้บน Clarity Plot Diagram เพื่อให้คุณสามารถดูลักษณะพิเศษของเพชรเม็ดนั้นได้อย่างสะดวก

Blemishes (ตำหนิภายนอก) จะระบุไว้ด้วยหมึกสีเขียว ในขณะที่ Inclusions (ตำหนิภายใน) จะระบุไว้ด้วยหมึกสีแดง

อ่านเพิ่มเติม: Clarity Characteristics: เจาะลึกใบเซอร์ จุดที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

Good VVS/VS: สิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม

โดยทั่วไป เพชรที่ไม่ใช่ IF (ไร้ตำหนิ) จะต้องมีตำหนิทุกเม็ด ซึ่งความมากน้อยของตำหนิก็จะขึ้นอยู่กับ Clarity เช่น เพชร VVS ก็จะมีตำหนิให้เห็นน้อยกว่า VS และ SI ตามลำดับ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเพชร VVS หรือ VS ทุกเม็ดจะมีตำหนิอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เพราะบ่อยครั้งที่คุณจะได้พบกับเพชร VVS หรือ VS แต่มีตำหนิขึ้นอยู่ที่หน้าเพชร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์

เพชรที่ดีไม่ควรจะมีตำหนิขึ้นหน้า แต่ควรจะหลบอยู่มุมอื่นแทน เมื่อนำเพชรไปใส่ตัวเรือนก็จะสามารถบดบังตำหนิได้อย่างมิดชิด โดยในวงการจะเรียกเพชรเหล่านี้ว่า Good VVS หรือ Good VS

ส่วนตัวแล้ว เพชรทุกเม็ดจะต้องผ่านตาผม ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า โดยเราจะคัดเลือกให้เฉพาะเพชรที่เป็น Good VVS และ Good VS ซึ่งถึงแม้ว่าในเพชร 100 เม็ดจะมีเพียง 1 ถึง 2 เม็ดที่มีคุณสมบัติดังนี้ เราก็ตั้งใจและยินดีทำให้ เพื่อให้ลูกค้าของเราได้รับเพชรเม็ดที่งดงามที่สุด

6. เครื่องหมายกันปลอมแปลง

cer6

ส่วนสุดท้าย ที่คุณควรจะมองหาคือเครื่องหมายตราประทับของสถาบัน (Security Marks) เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นใบเซอร์ของแท้จริงๆ

สำหรับสถาบัน GIA จะปั๊มด้วยเครื่องหมายโลโก้นูนหมึกสีทอง แบบที่ดูแล้วมีเอกลักษณ์ลอกเลียนแบบยาก ซึ่งเมื่อคุณได้เห็นของจริงแล้ว จะทราบได้อย่างง่ายดายว่าเป็นของแท้

สรุป: ใบเซอร์เพชร คือเครื่องการันตีที่จะทำให้คุณสามารถซื้อเพชรได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

ทีนี้คุณก็คงจะได้ทราบแล้ว ว่าข้อดีของการซื้อเพชรที่มีใบเซอร์เป็นอย่างไร รวมไปถึงความแตกต่างของประเภทของใบเซอร์ทั้งแบบใหญ่และเล็ก อีกทั้งยังได้เรียนรู้ถึงขั้นตอนในการอ่านวิเคราะห์ใบเซอร์แต่ละส่วนอย่างละเอียด

เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมีโอกาสซื้อเพชรในครั้งต่อไป ถ้าจะให้มองหาแค่เพชร D Color หรือ 3 Excellent ก็คงจะไม่เพียงพอหากคุณต้องการเพชรที่สวยอย่างแท้จริง

เพราะความจริงแล้ว ยังมีปัจจัยอีกมากมาย ที่จะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่า และความงามของเพชรที่คุณกำลังตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Fluorescence, Good VVS/VS, Table, Depth, Cutlet, Girdle ฯลฯ ซึ่งคงจะเป็นรายละเอียดยิบย่อย ที่ผู้ขายท่านอื่นอาจไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร

แต่สำหรับเพชรทุกเม็ดที่คุณจะได้รับจากเรา นี่คือที่สุดแห่งมาตรฐานของวงการเพชร (First-Class Standard) ที่เราตั้งใจมอบให้คุณอย่างจริงใจเสมอ หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอ่านใบเซอร์ สามารถติดต่อเรา ได้เลย