อัพเดทล่าสุด 12/02/2022 โดย Wit Sudjaiampun

เพชรน้ำ 100 D-Color คืออะไร? เคล็ดลับง่ายๆ ในการเลือกซื้อ

ตารางการดูสีของเพชร

แชร์บทความนี้

คุณมักจะเคยได้ยินคนพูดถึงเพชรเบลเยียมน้ำ 100 หรือเพชร D Color กันอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นเพชรน้ำงามที่สุด และเป็นเพชรน้ำที่ได้รับความนิยมสูง

หากคุณกำลังมองหาเพชรเบลเยียมแท้งามๆสักเม็ด แน่นอนว่าคุณก็คงอยากซื้อเพชรที่ดูขาวที่สุด ซึ่งก็คือ เพชรน้ำ 100 หรือเพชร D Color

ในการซื้อเพชร สีหรือน้ำของเพชรเป็นสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะสีที่ต่างกันอาจจะส่งผลไปถึงมูลค่าการซื้อขายที่ไม่เหมือนกัน

คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ทุกรายละเอียดเกี่ยวกับน้ำเพชร แต่ถ้าคุณมีความรู้พื้นฐานติดตัว ก็จะทำให้คุณสามารถซื้อเพชรได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ต้องจ่ายเงินมากเกินความจำเป็น

เพชรส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันเป็นปกติ คือ เพชรไร้สี (สีขาว) ซึ่งมีน้ำหลายคุณภาพขึ้นอยู่กับความขาว ถ้าเพชรมีสีขาวอมเหลืองจะถือว่าเป็นเพชรน้ำไม่ดี จึงมีมูลค่าต่ำ เพราะยิ่งเพชรขาวไร้สีมากเท่าไร ก็จะมีความสว่างและมูลค่าก็จะสูงมากเท่านั้น

แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่เพชรมีสีแตกต่างอย่างชัดเจน เช่น สีน้ำเงิน สีชมพู และสีเหลือง ซึ่งเพชรสี (Fancy Color) เป็นเพชรที่หายาก จึงมีมูลค่าสูงกว่าเพชรสีขาวทั่วไป ในบางกรณีอาจจะแพงกว่าหลายเท่าตัว

ตารางเพชรน้ำต่างๆ

GIA (Gemological Institute of America) เป็นสถาบันที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดแห่งหนึ่งในวงการเพชร ซึ่งเป็นผู้คิดค้นการจัดเกรดเพชรตามคุณภาพน้ำ โดยเรียงจากอักษร D ถึง Z ซึ่งถ้าอิงตามที่คนไทยนิยมเรียกกันก็จะเริ่มจากเพชรน้ำ 100

เพชรน้ำต่างๆ

น้ำเพชร ตามหลัก GIA

ไร้สี (Colorless)

เพชร D Color เป็นน้ำที่ดีที่สุด เพราะมีสีเจือปนน้อยที่สุด จึงทำให้ดูขาวใสไร้สี ส่วนเพชร E Color และ F Color ก็ดูคล้ายกันจนแยกได้ยากด้วยตาเปล่า มีเพียงนักอัญมณีศาสตร์มืออาชีพเท่านั้นที่จะสามารถแยกแยะเพชร D – E – F Color (เพชรน้ำ 100 – 99 – 98) ได้

โดยทั่วไป เพชร D – F Color ควรจะอยู่บนตัวเรือนทองคำขาว เพราะเนื่องจากมีสีขาวอยู่ในโทนเดียวกัน สีจะดูกลมกลืนเข้ากันได้ดี ต่างจากการใส่ในตัวเรือนทองคำสีเหลือง เพราะจะทำให้สีดูตัดกันจนเกินไป และทำให้เพชรดูไม่น่าดึงดูดต่อสายตา

เกือบไร้สี (Nearly Colorless)

เพชร G – J Color เป็นเพชรที่ดูคล้ายคลึงกับเพชรไร้สี หากมองผ่านๆด้วยตาเปล่า ถึงแม้ว่าจะมีอมเหลืองอยู่เล็กน้อย เพชรเหล่านี้จึงควรอยู่บนตัวเรือนทองคำขาว เพื่อช่วยทำให้เพชรดูไม่เหลืองไปมากกว่าเดิม

เพชรเหล่านี้มีความหายากน้อยกว่า D – F (เพชรน้ำ 100 – 98) จึงมีราคาที่ต่ำกว่าประมาณ 10 – 15% แม้ว่าสีจะดูไม่ค่อยแตกต่างซักเท่าไร

อมเหลืองจางๆ (Faint Tint)

เพชร K – M Color เป็นเพชรที่ดูเหลืองทันที เมื่อสังเกตด้วยตาเปล่า หลายคนนิยมนำเพชรเหล่านี้ไปประดับบนตัวเรือนทองคำสีเหลือง เพราะสีโทนร้อนมักจะเข้ากันได้ดี

เนื่องจากเพชรเหล่านี้มีสีอมเหลืองเริ่มชัดเจน จึงมักมีมูลค่าต่ำกว่า G – J อยู่ประมาณ 50%

อมเหลืองเล็กน้อย (Very Light Tint)

เนื่องจากเป็นเพชรที่มีโทนสีเหลืองหรือน้ำตาล เพชร N – R Color จึงมีมูลค่าต่ำกว่าสีอื่นๆมาก เราจึงไม่แนะนำให้คุณซื้อเพชรเกรดนี้

อมเหลือง (Light Tint)

เนื่องจากเป็นเพชรที่มีโทนสีเหลืองหรือน้ำตาลอย่างชัดเจน เราจึงไม่แนะนำให้คุณซื้อเพชรเกรดนี้

เทคนิคการเลือกซื้อเพชรด้วย น้ำเพชร

เวลาคุณเลือกซื้อเพชร ควรให้ความสำคัญกับน้ำเพชรเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากการพิจารณาจากเซอร์ GIA แล้ว ควรได้เห็นเพชรเม็ดจริงด้วย หรืออาจจะให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยแนะนำก็ได้

ถ้าเป็นไปได้ ลองสังเกตดูว่าเพชรเม็ดนั้นมีสีอมเหลืองหรือไม่ และเวลานำแสงสีขาวและสีเหลืองไปส่อง ดูแล้วเป็นอย่างไร

และที่สำคัญ คุณควรดูให้มั่นใจว่าเพชรนั้นดูขาวเมื่อเทียบกับตัวเรือน เพราะเพชรจะได้ดูโดดเด่นและเป็นจุดดึงดูดความสนใจของเครื่องประดับเพชรชิ้นนั้น

ต่อไปคือคำแนะนำการเลือกน้ำเพชรให้เหมาะสมกับรูปทรงเพชรและวัสดุตัวเรือน

อ่านเพิ่มเติม: 9 เหตุผลแสนเก๋ ที่ทำให้ผู้หญิงเทใจให้ “เครื่องเพชร” ตลอดกาล

แหวนทองคำขาว

เพชรกลม (Round): H – J Color (เพชรน้ำ 96 – 94) เว้นเสียแต่ว่าคุณมีกำลังทรัพย์มากพอ และต้องการของสวยจริงๆ เพราะหากคุณเลือกเพชรที่น้ำสูงกว่า H คุณจะต้องควักกระเป๋าจ่ายมากกว่า ในขณะที่สีของเพชรอาจจะไม่ได้ขาวจนสังเกตได้ชัด

เพชรแฟนซี (Princess, Emerald, Asscher): G – I Color (เพชรน้ำ 97 – 95)

เพชรทรงอื่นๆ: F – H Color (เพชรน้ำ 98 – 96)

แหวนทองคำ

เพชรกลม (Round): K – M Color (เพชรน้ำ 93 – 91) เพราะสีเหลืองจากแหวนทองคำจะดูกลมกลืนไปกับเพชรอย่างพอดิบพอดี ถึงแม้จะเลือกเพชรที่ขาวกว่านั้นก็จะยังทำให้เพชรดูเหลืองอยู่ดี

เพชรแฟนซี (Princess, Emerald, Asscher): J – K Color (เพชรน้ำ 94 – 93)

เพชรทรงอื่นๆ: I – J Color (เพชรน้ำ 95 – 94)

แหวนเพชรแถว

เพชรกลม (Round) และเพชรแฟนซี (Princess, Emerald, Asscher): G – I Color (เพชรน้ำ 97 – 95)

เพชรทรงอื่นๆ: F – H Color (เพชรน้ำ 98 – 96)

แหวนเพชรล้อม

เพชรทุกทรง​: F – H Color (เพชรน้ำ 98 – 96)

ทำความเข้าใจเรื่องความขาวของเพชร

คุณอาจจะเคยได้ยินมาว่า น้ำเพชร (Color) คือ สิ่งสำคัญอันดับต้นๆเวลาเลือกซื้อเพชร ซึ่งอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป

จริงอยู่ที่ Color มีความสำคัญในแง่ของความสวยงามและไฟของเพชร แต่ในความเป็นจริง เพชรที่ต่างกัน 1-2 น้ำ มักจะไม่สามารถแยกแยะได้โดยสายตาคนทั่วไป ยกตัวอย่าง ถ้าให้คนทั่วไปดูเพชร G – J Color (เพชรน้ำ 97 – 94) ก็คงจะไม่เห็นความแตกต่างของสี

คุณอาจจะคิดว่าการเลือกเพชร D Color หรือน้ำที่ดีที่สุด เป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม แต่จากประสบการณ์ เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาเรื่องคุณภาพ เหลี่ยมเพชร (Cut Quality) เป็นหลักจะถูกต้องกว่า

ความแตกต่างระหว่างเพชรน้ำใกล้เคียง

ลองทดสอบสายตาคุณดูจากรูปด้านล่าง เรามีเพชร 9 เม็ดที่มีสีต่างกัน โดยที่เพชรฝั่งซ้ายจะหันหน้าขึ้นและสุ่มการเรียงน้ำ ในขณะที่เพชรฝั่งขวาจะหันหน้าลงและเรียงตามน้ำที่ระบุไว้

เทียบน้ำเพชร

เมื่อคุณดูเพชรจากฝั่งซ้าย สามารถจับคู่ให้ถูกต้องกับฝั่งขวาได้หรือไม่?

เฉลย: 1 = G, 2 = L, 3 = E, 4 = F, 5 = J, 6 = D, 7 = H, 8 = K, 9 = I

คนส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของเพชรที่ห่างกันหนึ่งน้ำได้ ถึงแม้ว่าจะมีราคาต่างกันพอสมควร

สายตาของคุณกับการพิจารณาเพชรตามหลัก 4C

ความงามของเพชรประกอบไปด้วยหลายปัจจัย

หลัก 4C ของการดูเพชร มักได้รับการพิจารณาร่วมกันเพื่อบ่งบอกความงามและความแวววาวของเพชร ด้วยเหตุผลนี้จึงอาจจำเป็นต้องใช้การดูเพชรด้วยตาเปล่าร่วมด้วยในการพิจารณา น้ำเพชร (Color) หรือ ความสะอาด (Clarity)

การดูเพชรด้วยหลัก 4C เหมือนการทำงานร่วมกันเป็นทีม เพราะจะส่งผลต่อความงามโดยรวมของเพชร ดวงตาคุณโดยลำพังไม่สามารถพิจารณาปัจจัยทั้ง 4 แยกออกมา แต่เป็นการพิจารณาร่วมกันทั้ง 4 เพราะฉะนั้นคุณจึงไม่ควรดูแค่ Color เพียงอย่างเดียว

อ่านเพิ่มเติม: วิธีการดูเพชรด้วยหลัก 4C’s of Diamonds

เรียงการให้ความสำคัญของ น้ำเพชร ตาม รูปทรงเพชร

เพื่อให้การเปรียบเทียบน้ำเพชรด้วยรูปทรงง่ายขึ้น เราแนะนำให้คุณดูควบคู่ไปกับรูปทรงเพชรต่างๆเพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น

เนื่องจากเป็นแต่ละรูปทรง มีการเจียระไนเหลี่ยมที่แตกต่างกันออกไป น้ำเพชรจึงมีความสำคัญต่อเพชรทรงต่างๆไม่เท่ากัน เพราะว่ารูปแบบการเรียงตัวของเหลี่ยม จะเป็นตัวกำหนดว่าแสงจะสะท้อนภายในเพชรมากเพียงใด

เราจึงกำหนดคะแนนความสำคัญของน้ำเพชรตามรูปทรง ด้วยคะแนน 1 – 10 (1 คือสำคัญน้อยที่สุด และ 10 คือสำคัญมากที่สุด) เพื่อให้คุณเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

  • Round: 3
  • Princess: 5
  • Emerald, Asscher: 6
  • Oval, Marquise, Pear, Heart: 7
  • Radiant, Cushion: 8

สิ่งที่ผู้ซื้อเพชรควรทราบ

เพชรกลม (Round) คือ ทรงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ด้วยประมาณการซื้อขายกว่า 2 ใน 3 ของเพชรทั้งหมด

เวลาคุณเลือกซื้อเพชรกลม Color ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการกำหนดความงามของเพชร ยกตัวอย่าง ถ้าคุณนำเพชรกลม I – J Color (เพชรน้ำ 95 – 94) ไปให้คนทั่วไปดู (ยกเว้นผู้เชี่ยวชาญ) เขาก็คงจะมองว่าเป็นเพชรไร้สี (D Color) อยู่ดี

อ่านเพิ่มเติม: ซื้อแหวนเพชรที่ไหนดี? ในห้าง VS ออนไลน์ VS สั่งทำ [เจาะลึก]

ตัวเรือนซ่อนความเหลืองของเพชรได้

การเลือกวัสดุตัวเรือนที่ถูกต้อง จะสามารถช่วยซ่อนหรือเสริมสีที่แท้จริงของเพชรได้ ยกตัวอย่าง แหวนทองคำขาวสามารถช่วยขับความขาวของเพชรได้

ถ้าให้พูดแบบง่ายๆ เพชรน้ำ 95 จะดูแล้วรู้ว่าเป็นเพชรน้ำ 95 ก็ต่อเมื่อนำเพชรน้ำ 96 หรือ 97 มาวางเทียบข้างๆ ความจริงนักอัญมณีศาสตร์มืออาชีพก็ใช้วิธีการวางเทียบในการให้คะแนนน้ำเพชรเช่นกัน โดยมักจะนำเพชรมาวางบนกระดาษแผ่นพับสีขาว แล้วเทียบกับเพชรเม็ดหลัก (Master Diamond) เพื่อพิจารณาน้ำเพชร

เลือกเพชรเม็ดกลางให้ Match กับเพชรรอบๆ

การพิจารณาน้ำเพชรจากการดูเพชรเพียงเม็ดเดียว ถือเป็นสิ่งที่ยากแม้กระทั่งสำหรับนักอัญมณี เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนที่พกเพชร Sample ไว้ตลอดเวลา ซึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง

น้ำเพชรมีความสำคัญต่อเมื่อคุณคิดจะซื้อ แหวนเพชรล้อม แหวนเพชรแถว หรือแหวนเพชรเรียง ในเบื้องต้นเราแนะนำให้คุณเลือกเพชรเม็ดรอบๆให้มีน้ำเดียวกันกับเพชรเม็ดกลาง หรืออย่างน้อยก็ควรมีน้ำเป็นรองเพชรเม็ดกลาง เพื่อเสริมให้เพชรเม็ดกลางดูเด่นยิ่งขึ้น

แต่ถ้าหากคุณกำลังจะซื้อแหวนเพชรเม็ดเดี่ยวแบบที่ไม่มีเพชรรอบๆ เราแนะนำให้คุณกันงบเอาไว้โฟกัสในองค์ประกอบอื่น เช่น Clarity Cut มากกว่า ​Color เพื่อประหยัดงบ

อ่านเพิ่มเติม: 4 เคล็ดลับเลือก “แหวนเพชรผู้หญิง” ใส่ยังไงให้สวย และรวยมาก!

การเรืองแสง (Fluorescence) ส่งผลกับน้ำเพชรอย่างไร

อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Fluorescence เพราะจะส่งผลกับมูลค่าเพชรในระดับหนึ่ง

Fluorescence คือ ปฏิกิริยาของเพชรเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยแสง Ultraviolet (UV) ซึ่งเป็นสารเดียวกับที่ทำให้ฟันของคุณดูขาวขึ้น

ถ้าเพชรเป็น Strong Blue Fluorescence จะทำให้เพชรทั่วไปดูหมองลง แต่ถ้าหากเป็นเพชรที่มีน้ำต่ำๆการมี Fluorescence เล็กน้อย เช่น Slight อาจจะทำให้เพชรดูขาวยิ่งขึ้น (พิจารณาเป็นกรณีๆไป)

สรุป: มีอีกหลายปัจจัยที่สำคัญเหนือกว่า Color

วิธีที่ดีที่สุดในการเลือกเพชรที่เหมาะสม คือ การพิจารณาองค์ประกอบที่จะส่งผลต่อความงามและประกายของเพชรมากที่สุด

เมื่อคุณสามารถตัดสินใจเลือก Diamond Shape และ Cut ได้แล้ว ค่อยคำนึงถึง Color เพราะอย่างที่เราบอกคุณในเบื้องต้น ว่าไม่ควรให้ Color เป็นตัวกำหนดหลักในการตัดสินใจ

ถ้าคุณอยากให้เราช่วยเลือกเพชรที่เหมาะสมกับคุณ สามารถติดต่อเราตอนนี้ เพื่อให้เราช่วยทำในสิ่งที่ยุ่งยากและต้องใช้ความเชี่ยวชาญ นั่นก็คือการคัดเลือกเพชรที่ดีที่สุดจากเพชรจำนวนมหาศาล เพื่อให้คุณได้รับเพชรที่งามที่สุดภายในงบประมาณของคุณ

อ่านเพิ่มเติม: เพชร 3 EX คืออะไร? ทำความรู้จักกับ เหลี่ยมเพชร กันดีกว่า!

อโบฟยินดีให้บริการคุณเสมอ

พูดคุยกับนักอัญมณีอโบฟไดมอนด์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของท่าน กรุณาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก