15 แบบแหวนเพชร เจาะลึกทุกสไตล์ฮิต ที่คุณจำเป็นต้องรู้
การเลือกแบบแหวนเพชร หรือแบบแหวนแต่งงาน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณควรพิจารณาก่อนตัดสินใจสั่งทำแหวนเพชรสักวง

คุณเคยรู้สึกลำบากใจไหม? เวลาต้องเลือกแหวนแต่งงานที่มีตัวเลือกมากมาย ทั้งในเว็บ ในนิตยสาร หรือในร้าน ที่มีเยอะเสียจนทำให้คุณเลือกไม่ถูก เหมือนการฝ่าดงเข้าไปซื้อเสื้อผ้าในมหกรรมเซลล์อย่างไรอย่างนั้น
และที่ยิ่งไปกว่านั้น…
คุณคงจะเคยได้ยินคำศัพท์แปลกๆ เกี่ยวกับเทคนิคการฝังเพชร สำหรับแบบแหวนเพชรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝังหนามเตย ฝังจิกไข่ปลา ฝังสอด ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้คุณยิ่งงงเข้าไปใหญ่
จึงตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่ออธิบายให้คุณเข้าใจง่ายๆ ว่าแบบแหวนเพชรแต่ละแบบ มีหน้าตาเป็นอย่างไร และมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
โดยแบบแหวนเพชรทั้งหมดที่คุณเคยพบเจอมานั้น สามารถจำแนกได้อยู่ภายใน 15 ประเภทที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ ซึ่งเราได้ทำการรวมทั้งเทคนิคการฝังเพชร และแบบตัวเรือนยอดนิยมไว้ในบทความนี้ทั้งหมด คุณจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปหาดูแบบแหวนเพชรที่ไหนอีก เพราะเราได้ทำการสรุปให้คุณเรียบร้อยแล้ว
และเมื่อคุณเลือก แบบแหวนเพชร หรือแบบแหวนแต่งงานที่ถูกใจได้แล้ว สามารถติดต่อเรา เพื่อให้เราช่วยเลือกเพชรเบลเยียมเม็ดงามสำหรับคุณได้
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า…
1. แหวนเพชรเม็ดเดี่ยว ฝังหนามเตย (Solitaire & Prong Setting)




แบบแหวนเพชร ที่คุณจะพบเจอบ่อยที่สุด และถือเป็นแบบคลาสสิกตลอดกาลคือ แบบแหวนเพชรเม็ดเดี่ยว ที่ฝังแบบหนามเตย เหมาะสำหรับคู่รักที่กำลังมองหาแบบแหวนแต่งงาน
หนามเตย คือ ก้านที่ต่ออยู่กับกระเปาะที่คอยประคองเพชรหรืออัญมณีไว้ โดยส่วนปลายของหนามเตยแต่ละจุดจะมีลักษณะโค้งเข้าหากันเพื่อยึดเพชรเอาไว้
หนามเตยมีหลายรูปแบบ เช่น กลม แหลม แบน หรือ ตัว V (นิยมใช้กับเพชรทรง Princess Cut Diamond)
ตัวเรือนแหวนที่ฝังเพชรแบบหนามเตย ที่คุณจะเห็นได้บ่อยๆ คือแบบ 4 หรือ 6 ก้าน โดยแบบ 4 ก้านคือแบบที่คลาสสิกและฮิตที่สุด ในขณะที่แบบ 6 ก้านจะให้ความทนทานมากกว่า
ตัวเรือนแหวนที่ฝังแบบนี้จะทำให้เพชรดูใหญ่โต เพราะมีส่วนโลหะมาหุ้มน้อยที่สุด จึงสามารถมองเห็นเพชรได้จากทุกมุม ทำให้เพชรดูมีประกายแวววาวอย่างชัดเจน
คนส่วนใหญ่ที่ซื้อแหวนเพชร 1 กะรัต มักจะเลือกสั่งทำตัวเรือนแบบนี้
ข้อดี ของตัวเรือนฝังหนามเตย
- เพชรจะได้รับการชูขึ้นมา ทำให้มองเห็นได้ง่ายกว่า
- เพิ่มพื้นผิวสัมผัสของเพชร แสงจึงผ่านเข้าไปได้ดี ทำให้เพชรดูมีไฟ
- ฝังเพชรได้หลายรูปทรง ทั้งเพชรกลม และเพชรแฟนซี
- ง่ายต่อการทำความสะอาด เพราะมีรายละเอียดน้อย
- เป็นลุคที่คลาสสิก และสวมใส่ได้ในทุกโอกาส
ข้อเสีย ของตัวเรือนฝังหนามเตย
- แหวนอาจเกี่ยวดึงกับเสื้อผ้าหน้าผม โดยเฉพาะถ้าเป็นแหวนที่ชูเพชรขึ้นสูง (สามารถชูเพชรให้ต่ำลงได้ ถ้าคุณเป็นคนที่มี Active Lifestyle)
- เมื่อสวมใส่ไปเรื่อยๆ เพชรอาจหลวมและขยับได้ (ควรจะตรวจสอบดูทุกๆ 2 ปีเป็นอย่างน้อย เพื่อให้มั่นใจว่าเพชรยังอยู่กับที่)
2. แหวนเพชรฝังหุ้ม (Bezel Setting)




แหวนเพชรฝังหุ้ม เป็นแบบแหวนเพชรที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง เพราะเป็นลุคที่ดู Modern และเหมาะกับคนที่มี Active Lifestyle
การฝังแบบนี้จะต่างจากแบบหนามเตย เพราะแทนที่จะเกี่ยวเพชรไว้เฉยๆ การฝังหุ้มจะล้อมตัวเพชรทั้งเม็ดด้วยส่วนโลหะบางๆ เป็นทรงกลม ซึ่งจะทำให้เพชรยึดแน่นอยู่กับที่ เหมือนการใส่เคสมือถือแบบหนาๆ
การฝังหุ้ม อาจจะล้อมรอบหรือล้อมแค่บางส่วนของเพชรก็ได้ โดยถ้าหากเป็นการล้อมบางส่วนก็จะเปิดด้านข้างของเพชรให้เห็น
แหวนที่ฝังหุ้มจึงเป็นตัวเรือนที่เหมาะสมสำหรับคนที่ต้องทำงานด้วยมือเยอะหน่อย เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเวลาเพชรไปเกี่ยวกับสิ่งของ
ข้อดี ของตัวเรือนฝังหุ้ม
- ปกป้องเพชรได้แน่นหนากว่าตัวเรือนแบบฝังเตย เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคล่องแคล่ว
- ให้ลุคที่ดู Modern ทันสมัย
- ไม่ทำให้เพชรไปเกี่ยวดึงกับเสื้อผ้าหน้าผม
- ป้องกันเม็ดเพชรได้ดี จากการชนปะทะสิ่งของ
- ง่ายต่อการทำความสะอาดและดูแล เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องเพชรหลวม
ข้อเสีย ของตัวเรือนฝังหุ้ม
- ซ่อนตัวเพชรมากกว่าแหวนที่ฝังหนามเตย เพชรจึงดูเล็กกว่าความเป็นจริง
- เพชรจะได้รับแสงกระทบน้อย ทำให้ประกายไฟสู้การฝังหนามเตยไม่ได้
3. แหวนเพชรฝังหนีบ แบบปกติ (Classic Tension Setting)


การฝังหนีบ คือการใช้แรงดันจากโลหะทั้งสอนด้านของตัวแหวนในการหนีบเพชรเข้าไว้ จึงทำให้ดูเหมือนเพชรถูกยึดไว้กับที่ด้วยตัวเรือนเฉยๆ
การฝังแบบนี้มักจะใช้ Laser เพื่อหาขนาดที่แม่นยำของเพชร แล้วช่างฝังชำนาญการจะทำการตัดร่องเล็กๆ บนตัวเรือน เพื่อให้เพชรหรืออัญมณีล้ำค่าเกาะ เปรียบเสมือนลอยอยู่ ด้วยแรงดันจากตัวเรือนที่ค่อยผลักเพชรจากทั้งสองฝั่งให้อยู่กับที่
ข้อดี ของตัวเรือนฝังหนีบแบบปกติ
- หนีบเพชรให้อยู่กับที่ได้อย่างกระชับ ไม่ขยับไปมา
- ไม่พบเห็นได้บ่อย ทำให้ผู้สวมใส่ดูมีรสนิยมเป็นพิเศษ แตกต่างจากคนทั่วไป
- เพชรมีพื้นผิวสัมผัสมาก จึงมีแสงกระทบทำให้เล่นไฟได้ดีกว่า
- ให้ลุคที่ดู Modern และมีสไตล์
- ไม่ต้องระมัดระวังมากเท่าการใส่แหวนเพชรแบบฝังหนามเตย
ข้อเสีย ของตัวเรือนฝังหนีบแบบปกติ
- การเพิ่ม-ลดไซซ์แหวน ทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง
- อาจทำให้เพชรดูเล็กกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะเวลาใช้เนื้อโลหะหนา
- ถึงแม้จะเป็นไปได้ยาก แต่ก็มีโอกาสที่เพชรอาจหลุดออกมาได้หากถูกกระทบแรงๆ
4. แหวนเพชรฝังหนีบ ออกแบบฝังหุ้ม (Tension-Style Bezel Setting)


ส่วนการฝังหนีบ โดยการตั้งใจออกแบบมาให้ดูโค้งไปตามส่วนของเพชร เรียกว่าตัวเรือนฝังหนีบออกแบบฝังหุ้ม (Tension-Style Bezel Setting) ซึ่งจะผลิตยากกว่าตัวเรือนที่หนีบแบบตรงๆ เพราะต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญสูง แต่ตัวเรือนแบบนี้มีข้อดีตรงที่สามารถปกป้องเพชรได้รอบด้านกว่า และจะหนีบเพชรให้อยู่กับที่ได้ดีกว่า
แบบแหวนแต่งงานนี้ได้รับความนิยมมาก ในหมู่คนที่ชอบแหวนเพชรฝังหนีบ เพราะลดข้อเสียของการฝังหนีบแบบปกติได้ โดยการประยุกต์ใช้การฝังหุ้มเม็ดเพชรแทน
ข้อดี ของตัวเรือนฝังหนีบ ออกแบบฝังหุ้ม
- ยึดเพชรอยู่กับที่ได้ดีกว่า
- เป็นลุคที่ดูอมตะ และคลาสสิกกว่าแบบฝังหนีบปกติ
- ไม่ต้องระมัดระวังเวลาใส่มากเท่ากับแบบฝังหนามเตย
- ยังคงมีพื้นผิวเพชรมากพอ ที่แสงจะผ่านเข้ามา ทำให้ดูเล่นไฟได้ดี
ข้อเสีย ของตัวเรือนฝังหนีบ ออกแบบฝังหุ้ม
- ปรับเพิ่ม-ลดไซซ์ลำบาก และมีค่าใช้จ่ายสูง
- อาจทำให้เพชรดูเล็กกว่าความเป็นจริง
- หากถูกชนเข้าอย่างแรง อาจทำให้เพชรหลวมได้
5. แหวนเพชรฝังสอด หรือฝังล็อก (Channel Setting)


การฝังสอด คือวิธีในปลอดภัยในการฝังเพชรเม็ดเล็ก โดยที่เพชรจะเรียงกันเป็นแนวยาว ไม่มีเนื้อโลหะมาขวางกั้นระหว่างเพชร
การฝังสอด มักจะนิยมใช้กับแหวนเพชรแถว เพื่อเรียงเพชรให้ทั่วแหวนเป็นวงกลมรอบนิ้ว โดยได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน เพราะสามารถสวมใส่ได้ง่าย เหมาะกับชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ
เนื่องจากแหวนเพชรฝังสอดไม่มีการใช้หนามเตย จึงเหมาะกับคนที่ชอบความปลอดภัย และต้องการความสะดวกสบายในการสวมใส่
ข้อดี ของตัวเรือนฝังสอด
- สามารถยึดเพชรไว้ได้อย่างมั่นคง ป้องกันจากการกระทบได้ดี
- เพิ่มประกายให้แหวนเพชร เมื่อนำมาใช้ประดับรอบๆ เพชรเม็ดใหญ่
- ดีไซน์ดูเฉียบคม แต่ยังมีความมั่นคงเป็นอย่างดี
- แหวนจะไม่ค่อยเกี่ยวดึงกับเสื้อผ้าหน้าผม
ข้อเสีย ของตัวเรือนฝังสอด
- ต้องใช้ความพยายามในการทำความสะอาด เพราะฝุ่นจะเข้าไปเกาะด้านใน
- ยากต่อการตัดต่อไซซ์แหวน เพราะต้องเพิ่มลดจำนวนเพชร ทำให้ดูไม่สมส่วน
- ซ่อนเม็ดเพชรมากกว่าฝังหนามเตย เพราะด้านข้างๆ จะมีโลหะบังอยู่
6. แหวนเพชรฝังจิกไข่ปลา (Pavé Setting)


การฝังแบบจิกไข่ปลา คำว่า Pavé มีที่มาจากฝรั่งเศส ซึ่งก็คือ Pave ในภาษาอังกฤษ เมื่อแปลเป็นภาษาไทย หมายถึง การปูทาง หรือในที่นี้คือการปูเพชรนั่นเอง
การฝังแบบนี้ เหมาะกับการนำเพชรเม็ดเล็กๆ มาวางเรียงกันเป็นแพ แล้วยึดติดด้วยก้อนโลหะกลมๆ เล็กๆ เหมือนไข่ปลา การฝังแบบนี้จะทำให้เพชรดูระยิบระยับ มีประกายมากมากขึ้นโดยเฉพาะถ้าอยู่ในตัวเรือนทองขาว
ข้อดี ของตัวเรือนฝังจิกไข่ปลา
- สามารถช่วยทำให้เพชรเม็ดกลางดูเด่นยิ่งขึ้น
- เพิ่มประกายไฟให้แหวนเพชร เมื่อนำมาประดับรอบๆ
- ถ้าเพชรเม็ดกลางไม่มีไฟเท่าไร การฝังเพชรแบบจิกไข่ปลาจะช่วยให้ดูเล่นไฟมากขึ้น
- สามารถออกแบบแหวนเพชรให้ดูทันสมัย หรือวินเทจก็ได้
ข้อเสีย ของตัวเรือนฝังจิกไข่ปลา
- ตัดต่อขนาดแหวนลำบาก โดยเฉพาะถ้าฝังเพชรไว้รอบวง
- เพชรเม็ดเล็กมีโอกาสหลุดออกได้ (โอกาสน้อยมาก)
เราแนะนำให้คุณเลือกไซซ์แหวนที่ถูกต้อง ให้มั่นใจก่อนแล้วค่อยสั่งทำแหวนเพชร เพื่อป้องกันไม่ให้คุณต้องลำบากแก้ขนาดแหวนในภายหลัง
7. แหวนเพชรล้อม (Halo Setting)


แบบแหวนเพชรล้อม หมายถึงการนำเพชรเม็ดใหญ่มาล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็ก ตามรูปทรงของเพชรเม็ดกลาง ซึ่งจะทำให้เพชรเม็ดกลางดูใหญ่ขึ้น
แหวนแบบนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการโชว์เพชรแบบหมดหน้าตัก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประกายไฟของแหวนเพชรได้ดีอีกด้วย
แหวนเพชรล้อม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประหยัดเงิน เพราะแทนที่จะต้องซื้อเพชรเม็ดใหญ่ ก็สามารถลดงบประมาณมาเป็นเพชรเม็ดเล็กๆ แทน แต่ยังคงได้ภาพลักษณ์ที่ดูดีไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ ถ้าคุณเลือกใช้เพชรสีแฟนซี หรืออัญมณีอื่นๆ เป็นเม็ดกลาง และล้อมด้วยเพชรขาว ก็เป็นการเล่นสีให้ตัดกันได้อย่างสวยงาม
แหวนเพชรล้อม นิยมนำเพชรมาฝังแบบจิกไข่ปลาด้านข้างตัวเรือนเพื่อเพิ่มความสวยงาม แต่ถึงจะไม่มีเพชรมาตกแต่งรอบๆ ก็ยังดูดีแบบเรียบหรูได้อย่างมีระดับ
ข้อดี ของแหวนเพชรล้อม
- ช่วยเสริมให้เพชรเม็ดกลางดูยิ่งใหญ่อลังการ
- เพิ่มประกายไฟให้แหวนเพชร เพราะมีเพชรล้อม
- เพชรเม็ดกลางได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี
- สามารถประยุกต์ใช้ได้กับเพชรทุกสีทุกรูปทรง
- มีตัวเลือกในการออกแบบเยอะ เล่นสีเล่นลายได้
ข้อเสีย ของแหวนเพชรล้อม
- ถ้าช่างฝังฝีมือไม่ดี เพชรล้อมเล็กๆ อาจหลุดหายได้
- ปรับแต่งไซซ์ยาก หากออกแบบข้างๆ เป็นแหวนแถว
8. แหวนเพชรแบบชู (Cathedral Setting)


แหวนเพชรแบบชู นับเป็นแบบที่ดูภูมิฐานและคลาสสิกที่สุด ในบรรดาแบบแหวนแต่งงานทั้งหมด เพราะมีลักษณะส่วนฐานที่ชูเพชรคล้ายๆ กับซุ้มประตูของโบสถ์คริสต์โบราณ
ส่วนวิธีการฝัง อาจจะฝังแบบหนามเตย แบบล้อม หรือแบบหนีบก็ได้ เพราะลักษณะของแหวนแบบชูไม่ได้อยู่ที่เทคนิคการฝัง แต่อยู่ที่วิธีการตกแต่งในส่วนโลหะที่ชูเพชรขึ้นมาต่างหาก
การที่ตัวเรือนชูเพชรขึ้นมา จะช่วยเพิ่มความสูงของเพชรซึ่งทำให้เพชรเม็ดหลักดูใหญ่ยิ่งขึ้น และถือเป็นวิธีที่ดีสำหรับคนที่งบน้อยต้องการประหยัด เพราะเน้นเล่นลายส่วนตัวเรือน มากกว่าการโชว์จำนวนเพชร
ข้อดี ของแหวนเพชรแบบชู
- เน้นเพชรเม็ดกลางให้ดูยิ่งใหญ่อลังการ
- ดีไซน์ดูแปลกใหม่ เมื่อคนเห็นแล้วต้องทัก
- สามารถจับเพชรเม็ดกลางให้อยู่กับที่ได้ดี
- เพิ่มความสูงของเพชร โดยไม่ต้องเพิ่มงบมาก
- เพชรเม็ดกลางจะดูใหญ่กว่าความเป็นจริง
ข้อเสีย ของแหวนเพชรแบบชู
- อาจจะไปเกี่ยวกับเสื้อหรือของใช้ในบ้าน หากชูเพชรสูงเกินไป
- รูปทรงอาจดูไม่เพรียว และคล่องแคล่วเหมือนกับแหวนแบบฝังหุ้ม
- ต้องใช้ความพยายามในการทำความสะอาด เพราะมีร่องเยอะ
- หากออกแบบไม่ดี ดีไซน์ของตัวเรือนอาจดึงดูดความสนใจออกจากเพชรได้
9. แหวนเพชรฝังบาร์ (Bar Setting)


การฝังเพชรโดยขั้นด้วยแถบโลหะจากตัวเรือน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูแปลกตาในการฝังเพชร
การฝังแบบบาร์จะคล้ายๆ กับการฝังสอด แต่จะแตกต่างตรงที่การฝังสอดจะไม่เว้นที่ว่างระหว่างเพชร เพชรจึงแนบชิดติดกันหมด ขณะที่การฝังแบบบาร์จะเว้นที่ว่างไว้ เพื่อสอดชิ้นโลหะให้เพชรยึดอยู่กับที่
ตัวเรือนแบบนี้สามารถช่วยเน้นเพชรแต่ละเม็ดให้ดูโดดเด่นได้ เหมาะกับการทำแบบแหวนแต่งงาน Wedding Band หรือ แหวนซ้อนแบบ Stackable Ring ทีละหลายๆ วง
ข้อดี ของแหวนเพชรแบบบาร์
- ทำให้สามารถมองเห็นพื้นผิวเพชร ได้มากกว่าแหวนเพชรแบบฝังสอด
- สามารถใช้ทำเป็นแหวน Stackable Ring หรือแหวนเพชรเม็ดเดียวเรียบๆ
- ยึดเพชรได้เป็นอย่างดี ด้วยบาร์โลหะที่ขั้นเพชร
- ทำให้แหวนเพชรดูมีประกายไฟดีขึ้น เพราะเพชรโชว์พื้นผิวมากขึ้น
ข้อเสีย ของแหวนเพชรแบบบาร์
- ประสิทธิภาพในการยึดเพชร อาจด้อยกว่าแบบฝังสอด
- การปรับไซซ์แหวนเพชรอาจทำได้ยาก และใช้เวลานาน
- เนื่องจากเพชรได้รับการป้องกันจากตัวเรือนน้อยกว่า จึงอาจทำให้เพชรถากได้
10. แหวนเพชรฝังเหยียบ หรือฝังหน้าจม (Flush Setting)


การฝังเหยียบเป็นเทคนิคที่ต้องใช้การเหยียบสมชื่อ เพราะถึงแม้ว่าจะดูเผินๆ แล้วจะคล้ายกับแบบฝังหุ้ม แต่ที่จริงเป็นการเจาะรูตรงส่วนโลหะของแหวนลงไป แล้วช่างจะทำการกดเพชรเข้าไปให้อยู่กับที่
การฝังอัญมณีแบบฝังเหยียบจะไม่เหมาะกับพลอยหรืออัญมณี ที่มีเนื้ออ่อนกว่าเพชร เพราะอาจทำให้เนื้อพลอยแตกได้ในระหว่างการกดพลอยเข้าไป
แหวนเพชรฝังเหยียบเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมเมื่อพูดถึงแบบแหวนเพชรผู้ชาย เพราะการที่เพชรได้รับการฝังเข้าไปให้อยู่กับที่ ทำให้โอกาสหลุดหายยากมาก
อ่านเพิ่มเติม: 3 เคล็ดลับเลือกซื้อ แหวนแต่งงานผู้ชาย เซอร์ไพรส์คนพิเศษ!
ข้อดี ของแหวนเพชรฝังเหยียบ
- เป็นแหวนเพชรที่มีความทนทานมากที่สุด จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานด้วยมือเยอะๆ
- ทำให้ผู้สวมใส่ดูเป็นคนคล่องแคล่ว เรียบร้อย และเรียบง่าย
- ลดความกังวลเรื่องเพชรหลุดหรือหลวม เพราะเป็นไปได้ยาก
- เพิ่มการป้องกันให้กับเพชรอย่างแน่นหนา เปรียบเสมือนเสื้อเกราะ
- ถือเป็นแบบที่มีความ Practical และสวมใส่ในชีวิตจริงได้ดีที่สุด
- ลดโอกาสเป็นเป้าสายตาของขโมยขโจร เพราะไม่สะดุดตาเกินไป
ข้อเสีย ของแหวนเพชรฝังเหยียบ
- ทำให้เห็นเพชรได้น้อยลง เพราะถูกฝังจมลงไป
- เพชรจะมีประกายไฟสู้การฝังแบบอื่นๆ ไม่ได้
11. แหวนเพชรเรียง 3 ถึง 7 เม็ด (Three – Seven Stone Setting)


แบบแหวนเพชรเรียง และ แบบแหวนเพชรแถว ไม่ว่าจะเป็นเพชร 3…4…5…6…7 เม็ด ล้วนแต่เป็นแบบที่มีความอเนกประสงค์มาก จึงมักจะใช้เป็นแบบแหวนหมั้น แหวนแต่งงาน แหวนครบรอบ หรือโอกาสพิเศษอื่นๆ
ส่วนการเลือกจำนวนเพชร ขึ้นอยู่กับความเชื่อและความพึงพอใจของตัวผู้สวมใส่เอง
เช่น บางคนเชื่อว่าแหวนเพชรเรียง 3 เม็ด แสดงความหมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่มีความสุขของคู่รัก
ถ้าหากเป็นคนจีนอาจจะชอบแหวนเพชรเรียง 5 เม็ด เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีความสำเร็จ จึงเหมาะกับการแสดงความยินดีในหน้าที่การงาน
บางคนที่ชอบเพชรเยอะหน่อยก็จะเลือกเป็นแบบแหวนเพชรเรียง 7 เม็ด เพราะเลข 7 แสดงถึงโชคดี (Lucky Seven) ตามความเชื่อของชาวตะวันตก
ข้อดี ของแหวนเพชรเรียง
- เพิ่มประกายไฟของเพชรได้ดี
- สามารถเลือกใส่เพชรขนาดใหญ่ได้หลายเม็ด
- ทำให้เพชรเม็ดกลางดูเด่นยิ่งขึ้น หากเลือกเพชรข้างๆ ที่เหมาะสม
- สามารถทำแหวนแบบ Custom ได้หลากหลายแบบ
- ปรับลดไซซ์ได้ง่ายกว่าแบบอื่นๆ ถ้าเป็นแบบที่ท้องแหวนเรียบๆ
- ทำให้มองเห็นเพชรหรือพลอยได้อย่างเด่นชัด
ข้อเสีย ของแหวนเพชรเรียง
- อาจต้องทำความสะอาดบ่อยกว่าแบบแหวนเพชรเม็ดเดี่ยว
- ถ้าเลือกเพชรเม็ดข้างไม่ดี อาจลดความเด่นของเพชรเม็ดกลางลงได้
12. แหวนเพชรทรงวินเทจ (Antique/Vintage Setting)


แบบแหวนเพชรทรงวินเทจ มีหลากหลายสไตล์ โดยเป็นงานที่ผลิตขึ้นให้ดูคล้ายกับแหวนเพชรในสมัยก่อน ย้อนไปตั้งแต่ยุคที่ศิลปะเฟื่องฟู อาทิ Art Deco, Edwardian หรือ Victorian ซึ่งมักจะเน้นไปที่รายละเอียดของลวดลายตัวเรือนเป็นหลัก
ซึ่งถ้าพูดถึงแหวนเพชรทรงวินเทจในบ้านเรา ก็มีความโดดเด่นไม่น้อยหน้าเมืองนอก โดยเฉพาะแหวนทองทรงดอกไม้ต่างๆ เช่น แหวนดอกพิกุล หรือถ้าเป็นแหวนที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ให้ผลดีต่อผู้สวมใส่โดยตรงก็คือ แหวนนพเก้า
ข้อดี ของแหวนเพชรทรงวินเทจ
- ทำให้ผู้สวมใส่ดูมี Character ที่โดดเด่นในทันที
- งานตัวเรือนส่วนใหญ่ จะมีความละเอียดและอ่อนช้อย
- หากออกแบบมาเป็นอย่างดี จะช่วยเสริมให้เพชรเม็ดกลางดูยิ่งใหญ่
- ย้อนเวลานึกถึงวันวาน ที่มีเรื่องราวดีๆ ของผู้ใส่ หรือเพื่อให้เข้ากับสไตล์
ข้อเสีย ของแหวนเพชรทรงวินเทจ
- แหวนต้องได้รับการถนอมเป็นอย่างดี เพราะมีรายละเอียดเยอะ
- หากแหวนออกแบบมาไม่ดี จะทำให้เพชรดูไม่โดดเด่น
- ถ้าคิดจะนำแหวนเก่าสมัยก่อนมาใส่เพชรใหม่ ต้องดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้เพชรหลุดไปได้
13. แหวนเพชรแบบกลุ่ม (Cluster Setting)


แบบแหวนเพชรกลุ่ม คือ การนำเพชรมาฝังรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ให้ดูราวกับเป็นเพชรเม็ดใหญ่เม็ดเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วอาจประกอบด้วยเพชรกลางเม็ดใหญ่ หรือเป็นเพชรเม็ดเล็กทั้งหมดก็ได้
แหวนประเภทนี้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสวมใส่เพชรเม็ดใหญ่แต่มีงบจำกัด เพราะการลงทุนซื้อเพชรเม็ดใหญ่เม็ดเดียว จะมีมูลค่ามากกว่าการซื้อเพชรเม็ดเล็กๆ มารวมกันหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับเพชรคุณภาพเดียวกัน
ข้อดี ของแหวนเพชรแบบกลุ่ม
- เมื่อเพชรเล็กมารวมกัน จะทำให้ดูเผินๆ แล้วเหมือนเพชรมีขนาดใหญ่มหึมา
- ให้ลุคที่ดูพิเศษ เพิ่มมิติและความละเอียดของแหวนเพชรได้ดี
- ประหยัดกว่าซื้อเพชรเม็ดใหญ่เม็ดเดียว
- สั่งทำแหวนเพชรแบบพิเศษให้มีรูปแบบตามที่ต้องการได้
- เหมาะกับผู้ที่มีนิ้วมือที่เรียวเล็ก
ข้อเสีย ของแหวนเพชรแบบกลุ่ม
- ต้องทำความสะอาดบ่อยหน่อย เพราะมีจำนวนเพชรและช่องเยอะ
- เพชรเม็ดเล็กมีโอกาสหลุดได้ หากช่างฝังเพชรไม่เรียบร้อย
14. แหวนเพชรรอบวง (Eternity Band)


แหวนเพชรครึ่งวง หรือ แหวนเพชรรอบวง เป็นแหวนที่คนนิยมซื้อเพื่อสวมใส่เป็นแบบแหวนเพชรแต่งงานผู้หญิง หรือในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น วันครบรอบ วันเกิด หรือ วันวาเลนไทน์
ชาวต่างประเทศ มักจะเรียกแหวนชนิดนี้ว่า Eternity Band เพราะการที่มีเพชรล้อมอยู่รอบตัวเรือนเป็นวงกลม ก็เปรียบเสมือนกับความรักที่เดินทางไปเรื่อยๆ แบบไม่มีวันสิ้นสุดแบบอมตะนิรันดร์กาล
ข้อดี ของแหวนเพชรรอบวง
- แหวนเพชรจะดูมีประกายทั้งรอบนิ้ว สามารถมองเห็นเพชรได้จากทุกมุม
- เพิ่มลุคให้ดูโดดเด่น ทำให้ผู้สวมใส่ดูมีเอกลักษณ์ แทนที่จะเป็นแหวนแบบเรียบๆ
- สามารถสวมใส่ควบคู่กับแหวนอื่นๆ เช่น แหวนหมั้น หรือแหวนแต่งงานได้พร้อมกัน
- ออกแบบด้วยเทคนิคการฝังต่างๆ ได้ อาทิ ฝังหุ้ม หรือฝังสอด
- ยึดเพชรเม็ดเล็กให้อยู่กับที่ได้อย่างแน่นหนา
ข้อเสีย ของแหวนเพชรรอบวง
- การปรับเพิ่ม-ลดขนาดแหวนทำได้ยากมาก (ส่วนมากจะไม่ทำกัน)
- ต้องทำความสะอาดบ่อย เพราะมีร่องระหว่างเพชร ฝุ่นอาจเข้าไปเกาะได้
15. แหวนเพชรแบบก้านแยก (Shank/Split Setting)


แหวนเพชรแบบก้าน เป็นแบบแหวนเพชรที่เล่นดีไซน์ส่วนก้านของเพชร ให้แยกออกเป็นสองส่วนแล้ววิ่งมาประจบกัน โดยที่ก้านของแหวนแบบนี้มักจะใช้เพชรกลมในการประดับ แต่ถ้าใส่เพชรแฟนซีก็จะทำให้ดูแตกต่างยิ่งขึ้น
แหวนเพชรทรงนี้ เหมาะกับผู้ที่มีนิ้วมือเล็กเรียว เพราะจะทำให้นิ้วของผู้สวมใส่ดูอวบอิ่มและสมส่วนมากขึ้น
ข้อดี ของแหวนเพชรแบบก้าน
- ทำให้นิ้วมือของผู้สวมใส่ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ใครเห็นก็ต้องมอง
- เพิ่มพื้นที่ด้านข้างตัวเรือน ให้สามารถใส่เพชรเม็ดเล็กได้มากขึ้น
- ดึงดูดทุกสายตาให้มองไปที่เพชรเม็ดกลาง ทำให้ดูแล้วเด่นชัด
- สามารถออกแบบแหวนเพชร ให้ดูโมเดิร์นหรือคลาสสิกก็ได้
ข้อเสีย ของแหวนเพชรแบบก้าน
- ต้องดูแลทำความสะอาดบ่อย เพราะตัวเรือนมีรายละเอียดเยอะ
- แบบแหวนเพชรอาจจะไม่เพรียวบาง จึงไม่เหมาะกับคนที่มี Active Lifestyle
สรุป: เลือกแบบแหวนเพชร ที่เข้ากับ Lifestyle คุณ
การเลือกแบบแหวนเพชรที่ดี ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ต้องตัดสินใจให้ได้เป็นอันดับแรก เพราะจะเป็นสิ่งที่กำหนดดีไซน์และการเลือกเพชรทั้งหมด
ส่วนการที่คุณจะเลือกแบบไหนสไตล์อะไรก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว หรือ Lifestyle ของคุณล้วนๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวคุณเอง
แหวนเพชรแบบหนึ่ง อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องทำงานด้วยมือเป็นหลัก ในขณะที่แหวนเพชรอีกแบบ อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องออกงานสังคมบ่อย
อีกข้อที่คุณควรพิจารณา คือ เรื่องการทำความสะอาดแหวนเพชร เพื่อให้แหวนเพชรของคุณดูมีสง่าราศีตลอดเวลา เพราะไม่ว่าคุณจะเลือกแหวนเพชรแบบไหน เมื่อใส่ไปเรื่อยๆ ก็ต้องมีการทำความสะอาดอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าบางแบบทำความสะอาดยากง่ายเท่านั้นเอง
เมื่อคุณสามารถเลือกแบบแหวนเพชร หรือแบบแหวนแต่งงานที่ถูกใจได้แล้ว คุณก็ควรหาเพชรเม็ดงามมาประดับเพื่อให้เข้ากับตัวแหวนได้ดีที่สุด ซึ่งถ้าคุณต้องการให้เราช่วยคัดสรรเพชรในฝันเม็ดนั้นให้ สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อช่วยเลือกเพชรน้ำงาม ในราคาที่เหมาะสมได้
อ่านเพิ่มเติม: 3 วิธีดูเพชรแท้ เพชรเทียม แบบชัวร์ๆ ให้คุณดูเพชรได้ทุกแบบ