อัพเดทล่าสุด 14/08/2022 โดย Above Diamond
คุณกำลังสับสนระหว่าง ทองคำขาว ทองขาว กับแพลตตินั่ม อยู่หรือเปล่า?
เมื่อพูดถึง ทองคำขาว ทองขาว แพลตตินั่ม ทอง 90% ทอง 18K ฯลฯ อาจทำให้ใครหลายคนเกิดความสับสน ว่าอันไหนดีกว่ากัน?
นอกจากนี้ ยังมีหลายคนที่กำลังเข้าใจผิดคิดว่า ทองคำขาว กับ แพลตตินั่ม หรือที่หลายคนนิยมเรียกกันว่า ทองขาว เป็นวัสดุเดียวกัน เพราะดูจากภายนอกมีสีขาวๆเงินๆเหมือนกัน
แต่ไม่เหมือนกัน…
เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองวัสดุจะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกันมาก แต่ความจริงแล้วมีส่วนประกอบต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งรวมไปถึงความแตกต่างด้านราคาที่แตกต่างกันพอสมควร
ยิ่งไปกว่านั้น ไปช่วงหลังๆมักจะได้ยินหลายคนพูดถึงวัสดุพิงค์โกลด์ หรือโรสโกลด์อยู่บ่อยๆ แล้วสรุปว่ามันทำมาจากอะไร? ต่างจากทองคำปกติอย่างไร?
ในบทความนี้ ผมจะมาไขทุกข้อข้องใจ ให้คุณทราบถึงความแตกต่างของวัสดุแต่ละชนิด รวมถึงอธิบายข้อดี-ข้อเสียของทองคำแต่ละแบบ เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างละเอียด และสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจในการซื้อเครื่องประดับเพชรในอนาคตได้ครับ
ทอง 18K คืออะไร? ต่างจากทอง 90% อย่างไร?
ผมจะเริ่มอธิบายให้คุณเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องเปอร์เซ็นต์ทองกันก่อน เพราะดูเหมือนว่าจะมีหลายท่านที่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดที่บางท่านคิดว่าทอง K เป็นของปลอม ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลยนะครับ
K ย่อมาจากคำว่า Karat ซึ่งเป็นหน่วยสากลในการวัดเปอร์เซ็นต์ทอง ต่างจาก Carat ซึ่งเป็นหน่วยสำหรับใช้วัดน้ำหนักกะรัตของเพชรพลอย โดยทองคำแต่ละ K จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามเปอร์เซ็นต์ทองที่ใช้ โดยการนำมาหาร 24 เช่น:
- 24K = ทองคำ 99.99% (นิยมใช้ลงทุนทองคำแท่งทั่วโลก)
- 23K = ทองคำ 96.5% (นิยมใช้ในแหวนทอง แบบไม่ประดับเพชร)
- 18K = ทองคำ 75% (มาตรฐานแหวนเพชร Fine Jewelry ที่ใช้ในแบรนด์ European High-End)
- 14K = ทองคำ 58.3% (นิยมใช้ในงานแหวนเพชร USA)
- 9K = ทองคำ 37.5% (นิยมใช้ในงานแหวนเพชรราคาถูก)
ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนอกเหนือจากธาตุทองคำ นั่นก็คือโลหะ Alloy ต่างๆที่จะทำให้เครื่องประดับทองคำนั้นสามารถคงตัวอยู่ได้อย่างแข็งแรง เช่น เงิน (Silver) นิกเกิล (Nickel) ทองแดง (Bronze) และโรเดียม (Rhodium)
ทำไมแหวนเพชร ไม่ใช้ทอง 96.5%?
นั่นเป็นเพราะทอง 96.5% มีเนื้อทองมากเกินไป จึงทำให้เครื่องประดับมีเนื้อนิ่ม และบิดเบี้ยวได้ง่าย จึงไม่สามารถใช้ในงานตัวเรือนฝังเพชรพลอยได้เลย เพราะจะทำให้ยึดเกาะอัญมณีไว้ไม่อยู่ ทำให้เพชรพลอยมีโอกาสหลุดหายได้ง่าย
หากคุณกำลังใส่สร้อยทองที่ซื้อจากร้านทอง ให้ลองสังเกตง่ายๆตรงส่วนตะขอที่ทำจากทอง 96.5% จริงๆ เมื่อคุณใส่ไปนานๆสิ่งที่มักจะพบเจอ คือตะขอบิ่นจากการที่คุณถอดเข้าถอดออกทุกวัน
สรุปว่าทอง 18K หรือทอง 75% คือทองคำคุณภาพสูงและเหมาะสมที่สุด สำหรับงานแหวนทองฝังเพชร หรือเครื่องประดับเพชรอื่นๆ เพราะมีมูลค่าในตัวเองสูง และที่สำคัญมีความแข็งแรง ทนทานมากกว่าทอง 96.5% เหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
ทอง 18K เวลาขายคืน ราคาตกเยอะจริงไหม?
เนื่องจากทองคำ 18K เป็นทองแท้ จึงมีมูลค่าในตัวเองสูงอยู่พอสมควร เมื่อคุณนำไปขายคืนก็จะคิดมูลค่าอยู่ที่ 75% ของราคาทองในวันนั้น (Mark-to-Market) ซึ่งหากมาคำนวนเทียบกับทอง 96.5% จริงๆถือว่าต่างกันเล็กน้อย แตกต่างกับการซื้อมือถือยี่ห้อดัง หรือรถหรูมือหนึ่ง เพราะคุณจะมีโอกาสขาดทุนเยอะกว่าจากการเสื่อมราคา (Depreciation)
ซื้อทอง 14K หรือ 9K ประหยัดกว่าไหม?
เนื่องจากทอง 14K และ 9K มีส่วนผสมของทองคำเพียง 58.3% และ 37.5% ตามลำดับ จึงมีราคาถูกกว่ามาก และนิยมใช้กันในงานแหวนเพชรราคาถูก เพื่อลดต้นทุนของผู้ผลิต
แต่เมื่อสวมใส่ทองเหล่านี้ไปได้ซักระยะหนึ่ง คุณจะพบเจอ 2 ปัญหาหลักๆ คือ อาการทองซีด และ อาการทองกรอบ เพราะโลหะอื่นๆที่ผสมอยู่จำนวนมาก จะทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมไปเรื่อยๆ จนทำให้เครื่องประดับเพชรของคุณมีรอยแตกรอยร้าว หรือรอยหัก ซึ่งยากที่จะซ่อมแซมให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิม
อ่านเพิ่มเติม: 3 เคล็ดลับเลือกซื้อ แหวนแต่งงานผู้ชาย เซอร์ไพรส์คนพิเศษ!
แพลตตินั่ม (Platinum) คืออะไร?
แพลตตินั่ม เป็นหนึ่งในโลหะที่มีมูลค่าสูงเกือบจะที่สุดในตารางธาตุ และมักจะใช้ส่วนผสมประมาณ 90-98% ในการผลิตจิวเวลรี เมื่อดูภายนอกจะสวยงามเหมือนกับทองคำขาวมาก อีกทั้งยังมีความคงทนสูงกว่ามาก และจะยังคงดูสวยงามเหมือนเดิม หากคุณทราบวิธีการดูแลอย่างถูกต้อง
หากคุณกำลังตัดสินใจจะซื้อแหวนเพชรแพลตตินั่ม นี่คือข้อดี-ข้อเสียที่คุณควรพิจารณา:
ข้อดี แพลตตินั่ม
- มีโอกาสแพ้ของผิวน้อย (Hypoallergenic)
- เป็นวัสดุที่หายากกว่าทองคำ
- เป็นสัญลักษณ์แสดงความสูงส่ง (คล้ายกับบัตรเครดิตแพลตตินั่ม)
- มีความแข็งแรงกว่าทองคำขาว เป็นรอยยาก
- มีสีที่ดูแล้วนุ่มลึกเป็นธรรมชาติมากกว่า White Gold
- ไม่มีอาการลอกตลอดชีพ จึงไม่ต้องนำไปขัดชุบบ่อยๆ
- เหมาะกับผู้สวมใส่ที่มีผิวขาว เช่น คนเชื้อสายจีน และฝรั่ง
ข้อเสีย แพลตตินั่ม
- ราคาสูงกว่าทองคำขาว 30-50% (เมื่อนำมาทำเครื่องประดับ)
- เพิ่ม-ลดไซส์แหวนได้ยาก เนื่องจากวัสดุมีความเหนียว จึงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
ทองคำขาว VS แพลตตินั่ม
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกวัสดุตัวเรือนให้กับแหวนเพชรเม็ดงามของคุณ หลายคนมักจะมีคำถามว่าควรจะเลือกวัสดุอะไรดีระหว่าง ทองคำขาวกับแพลตตินั่ม?
ความแตกต่างหลักของวัสดุทั้งสองหลักๆจะเรื่องแร่ธาตุ ความคงทน และราคา ที่ถึงแม้ว่าเมื่อดูจากภายนอกแล้วทั้งสองจะมีความคล้ายคลึงกันมาก เรียกได้ว่าดูแล้วแทบจะเหมือนกันเกิน 90% โดยแหวนทองคำขาวจะต้องผ่านการชุบโรเดียมเพื่อให้มีลักษณะภายนอกที่ดูเงา ในขณะที่แพลตตินั่มจะเป็นเนื้อวัสดุจริงที่มีความขาวเงาคงทนอยู่แล้ว และจะมีสีที่ที่มืดกว่าเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเป็นสีแบบ Deep White Tone ซึ่งดูแล้วมีความเป็นธรรมชาติไม่น้อย
บางคนนิยมเรียกแพลตตินั่มว่า ทองขาว เพื่อไม่ให้ซ้ำกับ ทองคำขาว แต่กลายเป็นการสร้างความสับสนมากกว่าเดิม ทางที่ดีควรเรียกแพลตตินั่มไปตามชื่อเลย เพราะแพลตตินั่มก็คือแร่แพลตตินั่ม (Pt) ส่วนทองคำก็คือแร่ทองคำ (Au) ซึ่งเป็นธาตุคนละชนิด ที่มีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ทองคำขาว VS แพลตตินั่ม: ส่วนผสม
สำหรับเปอร์เซ็นต์ทองคำที่ใช้ในเครื่องประดับเพชรในเมืองไทย จะมีมาตรฐาน (Industry Standard) อยู่ที่ 18K ซึ่งจะมีเปอร์เซ็นต์ทองคำ และมูลค่ามากกว่าที่นิยมใช้กันในสหรัฐอเมริกาที่ 14K
สำหรับแพลตตินั่มที่นิยมโดยทั่วไปจะนิยมใช้เป็น Platinum 90% หรือ Platinum 95% ซึ่งถ้าให้แนะนำให้คุณเลือกเป็น 90% จะเหมาะสมกว่า เพราะเมื่อนำมาขึ้นเรือนแหวนจะมีโอกาสเป็นรูพรุนได้น้อยกว่า 95% ซึ่งรูพรุนเหล่านี้จะส่งผลให้แหวนมีโอกาสชำรุดได้สูงกว่า
ทองคำขาว VS แพลตตินั่ม: การดูแล
เมื่อคุณสวมใส่เครื่องประดับแพลตตินั่ม เรียกได้ว่าคุณสามารถสบายใจได้ไปตลอดชีวิต เพราะแพลตตินั่มเป็นวัสดุที่มีความทนทานสูงกว่าทองคำขาว 18K มาก จึงไม่ต้องดูแลมากในระยะยาว อีกทั้งสีของวัสดุจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
สำหรับทองคำขาว 18K คุณอาจพบว่าจะเกิดรอยขีดข่วนง่ายกว่า จึงต้องนำไปขัดชุบทุกๆ 3-5 ปี (ในกรณีที่สวมใส่เป็นประจำแบบสมบุกสมบัน) ส่งผลให้ต้นทุนในการดูแลทองคำขาว 18K สูงกว่าในระยะยาว เพราะต้องหมั่นทำความสะอาดและขัดเงาเรื่อยๆบ่อยกว่าทองคำ เพื่อให้คงพื้นผิวที่เรียบเนียนสวยงามเอาไว้เหมือนเดิม
ทองคำขาว VS แพลตตินั่ม: ราคา
ความแตกต่างที่คุณสามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ราคาของแพลตตินั่มที่สูงกว่าทองคำขาวมากกว่าเยอะในระดับ 30-50%
ถ้าให้วิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์ คุณจะพบว่าเมื่อเทียบราคาของวัสดุทั้งสองต่อกรัม ถือว่าไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่ออธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ การผลิตแหวนแพลตตินั่มซักวงจำเป็นต้องใช้แร่ธาตุจำนวนเยอะกว่า เนื่องจากเป็นธาตุที่มีความหนาแน่นมากกว่า
ในแง่ของการผลิต แพลตตินั่มมีจุดหลอมเหลวสูงกว่าที่อุณหภูมิ 982°C ในขณะที่ ทองคำขาวจะอยู่ที่อุณหภูมิ 732°C เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ไฟที่ร้อนกว่าในการหลอมแพลตตินั่ม เนื่องจากมีความทนทานสูงมาก
อีกทั้งยังต้องสร้างห้องพิเศษสำหรับการผลิต ซึ่งช่างจะให้ช่างผลิตแพลตตินั่มมาผลิตในห้องเดียวกับช่างทองหรือเงินไม่ได้ จึงทำให้กระบวนการแหวนแพลตตินั่มมีราคาสูงกว่าแหวนทองคำขาว
หากคุณชื่นชอบในความคงทนของแพลตตินั่ม และไม่ต้องการกังวลเรื่องการดูแลในระยะยาว แหวนแพลตตินั่มก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แต่หากงบประมาณมีจำกัดแหวนทองคำขาวก็อาจเพียงพอสำหรับการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
ทองคำทั้ง 3 สี
เมื่อถึงเวลาต้องเลือกวัสดุทองคำ คุณจะสังเกตได้ว่ามีอยู่ตัว 3 ตัวเลือก:
- ทองคำขาว (White Gold)
- ทองคำ (Yellow Gold)
- โรสโกลด์/พิงค์โกลด์ (Rose Gold/Pink Gold)
ทองคำขาว (White Gold) คืออะไร?
ทองคำขาว เป็นอัลลอย (Alloy) หรือโลหะผสมชนิดหนึ่ง ที่ผลิตมาจากการรวมตัวของทองคำเพียวๆ บวกกับโลหะที่มีเนื้อสีขาว เช่น นิกเกิล (Nickel) เงิน (Silver) และพาลาเดียม (Palladium)
ข้อดี ทองคำขาว
- ประหยัดกว่าแพลตตินั่มมาก
- มีความทนทานมากกว่าทองคำ เพราะมีส่วนผสมของโลหะที่แข็งแรงกว่า
- ได้รับความนิยมมากกว่าทองคำ โดยเฉพาะสำหรับแหวนเพชร
- เพชรที่อยู่บนแหวนเพชรทองคำขาว จะดูขาวกว่าเพชรที่อยู่บนแหวนเพชรทองคำ
- เหมาะกับผู้สวมใส่ที่มีผิวขาว เช่น คนเชื้อสายจีน และฝรั่ง
ข้อเสีย ทองคำขาว
- อาจจะต้องนำมาชุบโรเดียมใหม่ทุกๆ 3-5 ปี เพื่อให้ดูเสมือนใหม่ โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย แต่ไม่สูงเท่าแพลตตินั่มแน่นอน
ทองคำ (Yellow Gold) คืออะไร?
ทองคำ ที่ใช้สำหรับเครื่องประดับสวมใส่ ผลิตมาจากทองคำเพียวๆ บวกกับทองแดง (Copper) และสังกะสี (Zinc)
อย่างที่คุณได้ทราบดีแล้ว ว่ายิ่งทองคำมี K มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีส่วนผสมของทองคำมาก
ข้อดี ทองคำ
- มีโอกาสแพ้ของผิว (Hypoallergenic) น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับทองคำทั้ง 3 สี
- เคยได้รับความนิยมมากที่สุดในแหวนเพชรสมัยก่อน จึงเหมาะกับงานแหวนเพชรสไตล์วินเทจ
- เป็นสีทองคำที่ดูธรรมชาติมากที่สุด เพราะมีสีเหลือง
- ดูแลง่ายได้ที่สุด ในทองทั้ง 3 สี
- เพิ่ม-ลดไซส์แหวนได้สะดวกที่สุด เพราะมีเนื้อนิ่มกว่า
- ทำให้เพชรน้ำรอง (น้ำต่ำกว่า 92%) ดูขาวขึ้นได้
- เหมาะกับผู้สวมใส่ที่มีผิวเข้ม เช่น คนเชื้อสายไทย และแขกฝั่งเอเชีย
ข้อเสีย ทองคำ
- บางท่านอาจไม่ชอบใส่แหวนสีเหลือง
โรสโกลด์/พิงค์โกลด์ (Rose Gold/Pink Gold) คืออะไร?
โรสโกลด์ หรือ พิงค์โกลด์ เป็นคำที่ใช้เรียกทองคำที่มีเนื้อแดงอมชมพู ซึ่งจริงๆแล้วมีความหมายไม่ต่างกัน จึงนิยมเรียกสลับกันไปมา
ส่วนผสมหลักที่จะทำให้โรสโกลด์ดูมีสีชมพู คือ ทองแดง (Copper) ซึ่งหากยิ่งใส่ทองแดงมากเท่าไร ก็จะทำให้ทองคำดูมีสีแดงมากขึ้นเท่านั้น โดยปกติส่วนผสมที่นิยมใช้กันในโรสโกลด์ 18K คือ ทองคำ 75% และทองแดง 25%
ข้อดี โรสโกลด์
- ได้รับความนิยมอย่างมาก ในกลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงานยุคใหม่
- เป็นทองคำที่ดูโรแมนติก เพราะมีสีแดงอมชมพู
- มีความทนทานสูงสุด ในทองคำทั้ง 3 สี เพราะมีส่วนผสมของทองแดง
- เหมาะกับผู้สวมใส่ทุกสีผิว
ข้อเสีย โรสโกลด์
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ทองแดง
สรุป: เลือกสีทองสีไหน ขึ้นอยู่กับคุณ
สำหรับท่านที่ยังตัดสินใจอยู่ ระหว่างทองคำขาวกับแพลตตินั่ม แนะนำให้ลองพิจารณาดูข้อดีข้อเสียอีกรอบ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้เลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
แหวนแพลตตินั่ม ถึงแม้ว่าจะมีราคาที่สูงกว่า และปรับไซส์แหวนได้ยากกว่า แต่ในแง่ความคงทน และการดูแลรักษา ก็อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความสบายใจในระยะยาว
ส่วนแหวนทองคำขาว ถึงแม้ว่าจะมีความทนทาน และเป็นรอยได้ง่ายกว่าแพลตตินั่ม แต่หากในอนาคตคุณมีน้ำหนักที่มากขึ้นหรือลดลง ก็สามารถนำแหวนไปปรับไซส์นิ้วได้อย่างไร้กังวล
ส่วนการเลือกสีทองคำ สำหรับแหวนเพชรวงต่อไปของคุณ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องของสไตล์ล้วนๆ เป็นสิ่งที่แนะนำกันได้ยากครับ
ในการเลือกซื้อแหวนเพชรสักวง คุณอาจต้องใช้เวลาในการตัดสินใจพอสมควร และหากคุณต้องการรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สามารถติดต่อเราตอนนี้ เพื่อให้เราช่วยคุณค้นหาเพชรน้ำงาม ในแบบที่ใครๆก็ต้องเหลียวมอง ภายในงบประมาณที่เหมาะสมได้
อ่านเพิ่มเติม: 15 แบบแหวนเพชร เจาะลึกทุกสไตล์ฮิต ที่คุณจำเป็นต้องรู้ตอนนี้